ข้อมูลงานพิมพ์
• การเข้าเล่มหนังสือ • ชนิดกระดาษ • เทคนิคพิมพ์ • การปั๊ม
• การเตรียมงานพิมพ์ก่อนส่งโรงพิมพ์ • ประเภทของโปรแกรมที่ใช้ในการผลิตสื่อ
ข้อมูลงานพิมพ์
การเข้าเล่มหนังสือ (Binding)
- เข้าเล่มแบบเย็บมุงหลังคา หรือเย็บอก แบบนี้นิยมใช้เย็บ สมุด หนังสือและคู่มือ (Manual) ที่มีจำนวนหน้าน้อยๆ ไม่เกิน 80 หน้า (ไม่สามารถทำให้สันมีความหนาได้) วิธีการก็คือ เอากระดาษทั้งเล่มมาเรียงกันแล้วพับครึ่ง จากนั้นใช้เครื่องลวดเย็บลวดตรงแนวพับ 2-3 ตัว
- เข้าเล่มแบบไสกาว (ไสสันทากาว) เป็นวิธีที่นิยมใช้มากที่สุด เพราะเข้าเล่มได้เรียบร้อยสวยงามและราคาถูก เหมาะสำหรับหนังสือเล่มที่มีความหนาระดับหนึ่งประมาณ 70 หน้าขึ้นไป เช่น นิตยสาร วารสาร หนังสือเรียน ฯลฯ วิธีเข้าเล่มแบบไสกาว คือนำกระดาษที่เรียงหน้าเป็นเล่มแล้ว มาไสกระดาษด้านข้างให้เรียบก่อนแล้วจึงทากาว ที่ต้องไสสันก่อนก็เพื่อให้กาวแทรกซึมเข้าไปดีขึ้น การยึดติดก็จะดีขึ้น นั่นเป็นที่มาของคำว่า “ไสกาว”
- เข้าเล่มแบบเย็บกี่ไสกาว เป็นการเข้าเล่มหนังสือที่มีความแข็งแรงที่สุด เหมาะสำหรับเข้าเล่มหนังสือที่มีความหนามากๆ เช่น พจนานุกรม ดิกชันนารี สารานุกรม เล่มใหญ่ๆ โดยเอากระดาษทั้งเล่มมาแยกออกเป็นส่วนย่อย แล้วเย็บแยกแต่ละส่วนเป็นเล่มเหมือนเย็บมุงหลังคา แต่ใช้ด้ายเย็บ จากนั้นเอาเล่มย่อยๆ มาร้อยรวมกันเป็นเล่มใหญ่อีกที แล้วจึงนำไปไสกาวหุ้มด้วยปกอีกชั้นหนึ่ง
- เข้าเล่มโดยเข้าห่วงกระดูกงู มีข้อดีคือทำให้สามารถกางหนังสือออกจนสุดได้ นิยมใช้สำหรับงานพิมพ์ที่ไม่หนาเกินไป และทำจำนวนน้อย เช่น ปฏิทิน ไดอารี่ หรือ สมุดบันทึก อาจเลือกใช้ห่วงพลาสติก หรือห่วงเหล็กก็ได้ ห่วงเหล็กจะแข็งแรงกว่า
- เข้าเล่มกาวหัว การเข้าเล่มแบบนี้ใช้สำหรับพวก สมุดฉีก กระดาษโน้ต คูปองส่วนลด ฯลฯ เป็นการเข้าเล่มสำหรับให้ฉีกออกไปใช้ได้ง่าย วิธีการก็ง่ายมาก เอากระดาษมาเรียงกันเป็นตั้ง แล้วเอากาวทาที่สันตรงหัวกระดาษ จึงได้ชื่อว่าการเข้าเล่มแบบ “กาวหัว”
ชนิดกระดาษ
กระดาษอาร์ต (Art Paper)
กระดาษชนิดนี้เนื้อจะแน่น ผิวเรียบ เหมาะสำหรับงานพิมพ์สี่สี เช่น โปสเตอร์ โบรชัวร์ ปกวารสาร ฯลฯ มีให้เลือกหลายแบบ ได้แก่
- กระดาษอาร์ตมัน เนื้อกระดาษเรียบ เป็นมันเงา พิมพ์งานได้ใกล้เคียงกับสีจริง สามารถเคลือบเงาได้ดี ความหนาของกระดาษมีดังนี้ 85 แกรม, 90 แกรม, 100 แกรม, 105 แกรม, 120 แกรม ,130 แกรม, 140 แกรม, 160 แกรม
- กระดาษอาร์ตด้าน เนื้อกระดาษเรียบ แต่เนื้อไม่มัน พิมพ์งานสีจะซีดลงเล็กน้อย แต่ดูหรู ความหนาของกระดาษมีดังนี้ คือ 85 แกรม, 90 แกรม, 100 แกรม, 105 แกรม, 120 แกรม , 130 แกรม, 140 แกรม, 160 แกรม
- กระดาษอาร์ตการ์ด 2 หน้า เป็นกระดาษอาร์ตที่หนาตั้งแต่ 190 แกรมขึ้นไป เหมาะสำหรับพิมพ์งานโปสเตอร์ โปสการ์ด ปกหนังสือ หรืองานต่างๆ ที่ต้องการความหนา
- กระดาษอาร์ตการ์ด 1 หน้า เป็นกระดาษอาร์ตที่มีความแกร่งกว่ากระดาษอาร์ตการ์ด 2 หน้า หนาตั้งแต่ 190 แกรมขึ้นไป เหมาะสำหรับพิมพ์งานที่ต้องการพิมพ์แค่หน้าเดียว เช่น กล่องบรรจุสินค้าต่างๆ โปสเตอร์ โปสการ์ด ปกหนังสือ เป็นต้น
กระดาษปอนด์ (Pond Paper)
เป็นกระดาษเนื้อเรียบสีขาว ความหนากระดาษที่นิยมใช้พิมพ์หนังสืออยู่ที่ 70-100 แกรม นิยมใช้พิมพ์งานสีเดียว หรือพิมพ์สี่สีก็ได้แต่ไม่สวยเท่ากระดาษอาร์ต สามารถเขียนได้ง่ายกว่าทั้งปากกาและดินสอ เหมาะสำหรับพิมพ์เนื้อในหนังสือ หรือกระดาษหัวจดหมาย
กระดาษถนอมสายตา (Green Read Paper)
เนื้อกระดาษสีครีม ออกสีตุ่นๆและไม่ขาวจั๊วะเหมือนกระดาษขาวทั่วไป ผิวกระดาษที่ไม่เรียบเท่า ความสว่างของสีมีปริมาณน้อย ช่วยดูดกลืนแสงได้ดีทำให้ลดการสะท้อนแสงเข้าตา ประมาณ15 % ซึ่งทำให้ช่วยทำให้ถนอมสายตาในการอ่านหนังสือได้นาน เหมาะกับตำราเรียน หนังสือ นิตรสาร สมุด ไดอารี่ ออแกไนเซอร์ เพราะสีกระดาษทน ไม่เปลี่ยนสี ทำให้หนังสือไม่ดูเก่าลงและมีน้ำหนักเบากว่ากระดาษปอนด์ขาวทั่วไป พกพาสะดวกกว่า
เทคนิคพิมพ์ (การเคลือบผิว)
เคลือบเงาเฉพาะจุด (Spot UV)
เป็นการเคลือบน้ำยาเฉพาะจุด ต่างกับการเคลือบยูวี เพราะต้องมีอุปกรณ์ เช่น บล็อคหรือแม่แบบที่ออกแบบเพื่อให้ได้ขนาดและสัดส่วนเฉพาะจุดที่ต้องการลงน้ำยาเคลือบ ช่วยเพิ่มความโดดเด่นให้กับชิ้นงานโดยทั่วไปมักนิยมเคลือบผิวงานสิ่งพิมพ์ด้วยการเคลือบลามิเนตด้านและจะ SPOT UV ทับอีกครั้งช่วยให้งานสิ่งพิมพ์มีลักษณะเฉพาะขึ้น เช่น ตัวอักษรสำคัญ ภาพที่ต้องการเน้นลูกค้าของโรงพิมพ์มักให้เคลือบพีวีซีด้านทั้งแผ่น ก่อนเคลือบเฉพาะจุด ซึ่งทำให้ชิ้นงานออกมาดูสวยงาม
เคลือบ OPP เงา
เคลือบผิวกระดาษด้วยฟิล์ม OPP ที่มีผิวมันวาว ให้ความเงาสูง และเงากว่าการเคลือบแบบยูวีแต่ต้นทุนสูงกว่า มีลูกค้าโรงพิมพ์ใช้พอสมควร
เคลือบ OPP ด้าน
เคลือบผิวกระดาษด้วยฟิล์ม OPP ที่มีผิวด้านคล้ายผิวของกระจกฝ้าแต่สามารถมองผ่านทะลุถึงภาพพิมพ์ได้ ให้ผลลัพธ์ที่ดี และนิยมใช้กันมาก ลูกค้าของโรงพิมพ์มักให้ทำเคลือบเงาเฉพาะจุดควบคู่ไปด้วย
เคลือบยูวีเงา / ยูวีด้าน
เคลือบผิวกระดาษด้วยน้ำยาเงาและทำให้แห้งด้วยแสงยูวี ให้ความเงาสูงกว่าแบบวานิช เพื่อเพิ่มความมันเงาและสีสันให้กับสิ่งพิมพ์ รวมถึงป้องกันการ ขีดข่วนหากสิ่งพิมพ์นั้นมีขั้นตอนการผลิตหลายขั้นตอนเหมาะกับงานพิมพ์ที่ต้องการโชว์ความสวยงามของสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ และประหยัดค่าใช้จ่ายเนื่องจากต้นทุนราคาเคลือบถูก รวดเร็ว อีกทั้งเป็นงานเคลือบสิ่งพิมพ์ซึ่งเป็นที่นิยมกันโดยทั่วไป การเคลือบยูวีด้านก็เช่นเดียวกันแต่เป็นการเคลือบผิวกระดาษที่ออกมามีผิวด้าน
การปั๊ม
การรีด/ปั๊มแผ่นฟอยล์ (Hot Stamping)
ได้แก่ การปั๊มด้วยความร้อนให้แผ่นฟอยล์ไปติดบนชิ้นงานเป็นรูปตามแบบปั๊มมีทั้งการปั๊มฟอยล์เงิน/ทอง ฟอยล์สีต่างๆ ฟอยล์ลวดลายต่างๆ ฟอยล์โฮโลแกรม เป็นต้น
การปั๊มนูน/ปั๊มลึก (Embossing/Debossing)
คือการปั๊มให้ชิ้นงานนูนขึ้นหรือลึกลงจากผิวเป็นรูปร่างตามแบบปั๊ม เช่น การปั๊มนูนตัวอักษร สัญลักษณ์
การขึ้นรูป (Forming)
ได้แก่ การตัดเจียน เช่น งานทำฉลาก การขึ้นเส้นสำหรับพับ การปั๊มเป็นรูปทรง/การไดคัท เช่นงานทำกล่อง งานเจาะหน้าต่างเป็นรูปต่างๆ การทากาวหรือทำให้ติดกัน เช่น งานทำกล่อง งานทำซองการหุ้มกระดาษแข็ง เช่น งานทำปกแข็ง งานทำฐานปฏิทิน
ปั๊มทองเค
เป็นการปั๊มแผ่นฟอยล์ด้วยความร้อนติดกับงานสิ่งพิมพ์ตามรูปแบบที่ได้ทำแม่พิมพ์ไว้เพื่อเพิ่มความโดดเด่นให้กับชิ้นงาน ต้องอาศัยประสบการณ์และความสามารถ การผลิตเป็นที่นิยม เช่นการ์ดแต่งงาน ประกาศนียบัตร นามบัตร ปัจจุบันมีฟอยล์หลากหลายสีให้ได้เลือกใช้
การไดคัท
เป็นการเพิ่มความสวยงามให้กับงานพิมพ์ไม่ว่าจะเป็นงานพิมพ์ด้วยระบบดิจิตอลหรืองานพิมพ์ออฟเซ็ทสามารถทำได้ งานไดคัทเป็นการปั๊มกระดาษ ออกเป็นชิ้นงานในรูปแบบต่างๆ ขึ้นอยู่กับการออกแบบโดยใช้ใบมีดดัดโค้งงอเป็นแม่แบบ (บล็อค) แล้วจึงปั๊มไดคัทตามรูปแบบ เช่น ไดคัทรูปดาว ไดคัทมุมมนนามบัตร บัตรเข้างานหรือไดคัทการ์ด ปั๊มสติ๊กเกอร์ งานกล่องกระดาษ ต้องใช้ประสบการณ์และความชำนาญในการปรับตั้งเครื่อง เพื่อให้ได้จังหวะการไดคัทหรือการถ่ายเทน้ำหนักจากบล็อคสู่งานพิมพ์ให้ได้พอดี แต่ไม่ให้กระดาษแตกหรือฉีกขาด
หลักการใช้สีและแสง
สีมีความสำคัญอย่างมากต่อกราฟิก สีทำให้ภาพหรือสิ่งต่างๆ มีความสดใส สวยงาม น่าสนใจในการใช้สีเพื่อสื่อความหมายในงานกราฟิก ควรจะได้ศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจเพื่อที่จะได้นำสีไปใช้ประกอบในงานกราฟิก ให้งานนั้นสามารถตอบสนองได้ตรงตามจุดประสงค์
ระบบสีของคอมพิวเตอร์เกี่ยวข้องกับการแสดงผลของแสงในเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยมีลักษณะการแสดงผล คือ ถ้าไม่การแสดงผลสีใด บนจอภาพจะแสดงเป็น “สีดำ” หากสีทุกสีแสดงพร้อมกันจะเห็นสีบนจอภาพเป็น “สีขาว” ส่วนสีอื่นๆ เกิดจากการแสดงสีหลายๆ สี แต่มีค่าแตกต่างกัน การแสดงผลลักษณะนี้เรียกว่า “การแสดงสีระบบ Additive”
การแสดงสีระบบ Additive
สีในระบบ Additive ประกอบด้วยสีหลัก 3 สี แดง (Red) เขียว (Green) น้ำเงิน (Blue) เรียกรวมกันว่า RGB หรือแม่สี
ระบบสีที่ใช้กับงานสิ่งพิมพ์
ระบบสีที่ใช้กับงานสิ่งพิมพ์ ประกอบด้วย สีฟ้า (Cyan) สีม่วงแดง (Magenta) และสีเหลือง (Yellow) คือระบบ CMYK
สี (Color)

แสงสีขาวจากธรรมชาติหรือแสงจากดวงอาทิตย์เกิดจากการผสมของแม่สีสามสี คือ แดง เขียว และน้ำเงิน ซึ่งเหมือนสีที่ปรากฏบนจอคอมพิวเตอร์ หากนำภาพดิจิตอลที่ทำจากคอมพิวเตอร์ไปแสดงผลทางเครื่องพิมพ์ ภาพสีหรือเป็นฟิล์มสไลด์ จะได้สีที่ใกล้เคียงกับจอมอนิเตอร์ถ้านำไปใช้ทางการพิมพ์ เช่น หนังสือ หรือสิ่งพิมพ์ต่างๆ สีสันจะผิดเพี้ยนไป เพราะทางการพิมพ์ใช้แม่สี ไวแอน มาเจนต้า และเหลือง (CMYK) ซึ่งผสมกันแล้วจะได้สีดำ นอกจากนี้ขอบเขตของสีก็ปรากฏแตกต่างกัน จอมอนิเตอร์สามารถแสดงสีได้สูงสุด 16.7 ล้านสี น้อยกว่าที่ตาคนเราสามารถมองเห็น ส่วนการพิมพ์อยู่ในระดับหมื่นสีเท่านั้น
การเตรียมงานพิมพ์ก่อนส่งโรงพิมพ์และการจัดการภาพสำหรับงานพิมพ์
การเตรียมงานพิมพ์ก่อนส่งโรงพิมพ์
ปัจจุบันระบบการพิมพ์มีความก้าวหน้าขึ้น โดยได้นำเทคโนโลยีทางคอมพิวเตอร์มาช่วยจัดการกับงานพิมพ์ ทำให้การสร้างสรรค์งานสิ่งพิมพ์ง่ายขึ้น แต่ยังมีปัญหาที่ตามมาคือ ไฟล์ต้นฉบับที่สร้างขึ้นมาจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ส่งมาไม่สอดคล้องกับมาตรฐานการทำงานของทางโรงพิมพ์
ดังนั้น ผู้ที่สร้างสรรค์งานพิมพ์ไว้เรียบร้อยแล้วต้องการจัดพิมพ์ให้เป็นหนังสือ นิตยสารหรือสิ่งพิมพ์แบบอื่นๆ นั้น สามารถทำได้ ดังนี้
- จัดส่งไฟล์งานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นไฟล์ข้อมูล ไฟล์ภาพ หรือฟอนต์ให้กับโรงพิมพ์
- พิจารณาถึงความละเอียดและฟอร์แมทของไฟล์ภาพที่ส่งไป
- เลือกใช้โปรแกรมที่เหมาะสมกับการทำงาน เช่น พิมพ์ข้อความผ่านโปรแกรม Word สร้างภาพกราฟิกจากโปรแกรม Illustrator ตกแต่งภาพด้วยโปรแกรม Photoshop จัดวางข้อมูลประกอบลงบนหน้าสิ่งพิมพ์ด้วย Publisher
ประเภทของโปรแกรมที่ใช้ในการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์และการออกแบบจัดหน้าสื่อสิ่งพิมพ์
ปัจจุบันนี่มีโปรแกรมสำเร็จรูปที่นำไปใช้ในการผลิตส่อสิ่งพิมพ์มากมายที่ได้รับความนิยมนำมาใช้ในการออกแบบหรือจัดหน้าสื่อสิ่งพิมพ์ ทำให้การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์มีความน่าสนใจมากขึ้น ซึ่งในหัวข้อนี้จะกล่าวถึงโปรแกรมที่ได้รับความนิยมในการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์เท่านั้น โดยมีโปรแกรมต่างๆ ดังนี้
โปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ด (Microsoft Word)
โปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ดเป็นโปรแกรมที่ผลิตโดยบริษัทไมโครซอฟต์โดยผลิตรุ่น 2.0 มาก่อน จากนั้นพัฒนาเป็นรุ่น 6.0 ซึ่งทำงานระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 3.1 ต่อมามีการปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ โดยมีการพัฒนาโปรกรมไมโครซอฟต์เวิร์ดให้รองรับการใช้งานบนระบบปฏิบัติการต่างๆ ดังนี้ Word 95, 97, 98, 2000, 2003, XP เป็นต้น ซึ่งโปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ดเป็นโปรแกรมที่ช่วยในการจัดการสิ่งพิมพ์ซึ่งหน่วยงานต่างๆ มักจะนำโปรแกรมนี้ไปใช้ในการพิมพ์เอกสาร รายงานต่างๆ มากมาย
โปรแกรมโฟโต้ช้อฟ (Adobe Photoshop)
เป็นโปรแกรมสำหรับการจัดการกับภาพ หรืองานกราฟิกที่ต้องการความละเอียดสูงและเป็นโปรแกรมที่ได้รับความนิยมในการตกแต่งภาพสามารถเปิดไฟล์ได้หลากหลาย เช่น JPEG, TIFF, DNG, Traga , BMP , PICI, GIF, PICT นอกจากนี้ยังสามารถตกแต่งสีให้กับรูปภาพให้คมชัดขึ้น
โปรแกรม Illustrator
เป็นโปรมแกรมที่ช่วยในการสร้างภาพกราฟิกแบบเวกเตอร์เพื่อใช้ในการประกอบข้อความที่ได้จากการพิมพ์โดยโปรแกรม Ms – word
โปรแกรม PageMaker
เป็นโปรแกรมแบบ Desktop Publishing เป็นการจัดและนำข้อมูลมาประกอบลงบนหน้าสิ่งพิมพ์